วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

หมูสามชั้นทอดน้ำปลา


หมูสามชั้นทอดน้ำปลา 
---------------------------------------------
ส่วนผสม
หมูสามชั้น 1/2 กิโลกรัม
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
แป้งทอดกรอบ หรือแป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันหมู 1 ถ้วยตวง
------------------------------------
วิธีทำ
1. เทน้ำปลาลงในเนื้อหมู คลุกเคล้าให้เข้ากัน จนกว่าน้ำปลาจะซึมเข้าไปในเนื้อหมูจนหมด แล้วหมักไว้เป็นเวลา 30 นาที
2. พอหมักหมูได้ที่แล้วก็นำออกมาคลุกกับแป้งทอดกรอบให้ทั่ว
3. เทน้ำมันลงหม้อแล้วเปิดไฟแรงสุด พอใส่เนื้อหมูหมดก็ปรับเป็นไฟกลาง พลิกไปมา จนกว่าเนื้อหมูจะสุก
4. พอเนื้อหมูได้ที่แล้ว ให้พลิกเอาด้านที่เป็นหนังลงทอด เพื่อให้หนังมีความกรอบมากขึ้น
---------------------------------------------
เสร็จแล้วจ้าาา ง่ายๆเนอะ สามารถจิ้มกับน้ำจิ้มแจ่ว น้ำจิ้มซีฟู๊ด หรือซอสพริกก็ได้ ตามใจชอบเลย
---------------------------------------------
จะนำไปใส่ในเมนูผัดผัก หรือผัดกะเพราะก็อร่อยน้าาา
---------------------------------------------
และแล้ว ที่ตั้งใจว่าจะโพสกะเพราเห็ดเจ ก็ไม่ทันจนได้ พอดีต้องทำงานส่งสำนักพิมพ์เยอะหน่อย เลยไม่มีเวลาตัดต่อคลิป ขอเก็บเมนูผัดกะเพราเห็ดเจไว้ก่อนนะ ไว้มีโอกาสค่อยโพส
---------------------------------------------
สุดท้ายเลย เราใช้มีดไม่เก่งน้าา ข้อต่อเราไม่ค่อยดี ข้อต่อทั่วร่างหลุดง่ายเพราะเป็นโรคเอ็นข้อหย่อน
ทำให้จับมีดลำบากนิดนึง เวลาใครเห็นเราหั่นอะไรทีไร เค้าจะบอกว่าน่าหวาดเสียว แต่เราไม่เคยโดนมีดบาดเวลาทำอาหารนะ แค่ทำตกเกือบโดนเท้าบ่อยๆ
----------------------------------------------
หั่นท่าที่ปลอดภัย มันจะปวดข้อนิ้ว ข้อมือ และไม่มีแรงกด อันนี้เป็นท่าที่เจ็บข้อน้อยที่สุด แต่หั่นเสร็จก็เจ็บเหมือนกัน ถึงได้ซื้อมีดฟันเลื่อยไฟฟ้ามาไว้ใช้งายย (ไม่กล้าเอามาหั่นโชว์ กลัวคนว่าเวอร์)

ติดตามชมเมนูอื่นๆได้ที่ >> https://www.facebook.com/Food.By.Rita

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

เนื้อม้วนอบซอสพริกไทยดำ By กระทะ

เนื้อม้วนอบซอสพริกไทยดำ By กระทะ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ




เนื้อม้วนอบซอสพริกไทยดำ By กระทะ
------------------------------------------
ส่วนผสม
เนื้อวัวสันนอก 150 กรัม 4 ชิ้น
ซอสหอยนางรม 1/2 ถ้วยตวง
ซอสมะเขือเทศ 1/4 ถ้วยตวง
มายองเนส 1/4 ถ้วยตวง
พริกไทยดำบุบ 2 ช้อนชา
พริกไทยสด ตามชอบ
น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง
โรสแมรี่ 1 ช้อนชา
สับปะรด 1 ช้อนชา
เนยเค็ม หรือเนยกระเทียม 1/3 ถ้วยตวง
------------------------------------------
วิธีทำ
1.ผสมซอสหอยนางรม+ซอสมะเขือเทศ+มายองเนส+พริกไทยดำ+โรสแมรี่+สับปะรด คนให้เข้ากันแล้วพักไว้
2.ทุบเนื้อเพื่อให้เนื้อนิ่มขึ้น
3.นำเนื้อไปคลุกกับซอส แล้วหมักไว้ 1 ชั่วโมง ในตู้เย็น
4.หมักครบ 1 ชั่วโมงแล้ว เราก็นำเนื้อออกมาม้วน แล้วมัดด้วยเชือกมัดเนื้อ
5.ใส่เนยลงในกระทะ เปิดไฟร้อนสุด
6.พอเนยละลายก็ใส่เนื้อลงไปทอด
7.รอสัก 3 นาทีให้พลิกเนื้อกลับด้าน
8.ปิดฝา ปรับเป็นไฟอ่อน อบทิ้งไว้ 10-15 นาที
9.เมื่อเนื้อสุกก็ตัดเชือกออก แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ (ไม่หั่นก็ได้ตามใจชอบ)
10.นำซอสที่หมักเนื้อผสมกับน้ำเปล่า แล้วเทลงกระทะที่ใช้อบเนื้อ เปิดไฟแรงสุด แล้วเคี่ยวจนซอสข้นตามชอบ
11.ราดซอสบนเนื้อโรยพริกไทยสด จัดวางสลัดกับมันฝรั่งทอด ก็เป็นอันเสร็จ พร้อมเสริฟได้จ้าาาา
------------------------------------------
*สามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู หรือไก่ได้ตามชอบ
**ถ้าเนื้อดีพอสมควร ไม่จำเป็นต้องใส่สับปะรดเพื่อให้เนื้อนิ่มขึ้น
***ถ้าเนื้อไม่ดี แล้วไม่ใส่สับปะรด ควรหมักเนื้อไว้ทั้งคืน ไม่งั้นเหนียวมาก
****ถ้าใส่สับปะรด อย่าหมักเกิน 1 ชั่วโมง เพราะเนื้อจะยุ่ย สูญเสียรสชาติความเป็นเนื้อวัวไปซะงั้น
*****ไม่มีโรสแมรี่ก็ไม่ต้องใส่ แต่ถ้าใส่จะดีมาก เพราะจะดับกลิ่นคาวเนื้อวัวได้ดี
******ด้ายมัดเนื้อ เพื่อความปลอดภัย เราควรซื้อในห้าง โซนที่ขายอุปกรณ์อาหาร จำได้ว่าที่เซ็นทรัลบางนามี กะจะซื้อแต่คิดว่าคงไม่ได้ใช้ก็เลยไม่ได้ซื้อ -*-
------------------------------------------
อันที่จริงแล้ว เราตั้งใจจะทำสเต็กเนื้อมารีวิว
เราโทรไปสั่งกับรถขายกับข้าวว่า เอาเนื้อวัวส่วนสันนอก 2 ชิ้น ชิ้นละ 300 กรัม เอาไว้ทำสเต็ก
แต่พอตอนไปรับของ เค้าจะใส่เป็นถุงไว้ เราไม่ได้เปิดดู พอเราเตรียมส่วนผสมทุกอย่างเสร็จ ก็เทเนื้อใส่จาน
พอเห็นเนื้อเท่านั้นล่ะ ช๊อคไปชั่วครู่ เอิ่มมม ทุกทีมันมาเป็นชิ้น 2 ชิ้น รอบนี้ไหง๋มาเป็นชิ้นบางๆ 4 ชิ้นฟะ -*-
ก็เลยโทรไปถามน้องเค้า น้องเค้าบอกว่าโทรไปสั่งที่ร้านขายเนื้ออีกที ตอนรับมาก็ไม่เปิดดูเช่นกัน ครั้งหน้าจะไม่ให้พลาดอีก (โอเคค่ะ น้องก็น่ารักมาตลอด พี่อภัยให้ 555)
เนื่องจากเตรียมส่วนผสมหมดแล้ว จะเปลี่ยนเมนูก็คงจะไม่ดี ขี้เกียจเททุกอย่างใส่ถุงน่ะ เราก็เลยตัดสินใจทำเนื้อม้วนซะเลยก็แล้วกัน
แต่เนื่องจากเราไม่มีเชือกมัดเนื้อ เราจึงใช้ด้ายเย็บผ้านี่ล่ะ มาพันเนื้อแทน
เพราะว่าใช้ด้ายพัน เนื้อเลยไม่แน่น ตอนหั่นเลยออกจะเละไปนิดนึง ขออภัยนะค๊าาาา

ติดตามชมเมนูอื่นๆได้ที่ >> https://www.facebook.com/Food.By.Rita

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แกงกิมจิ (김치찌개) (คิมชี ชีเก)

แกงกิมจิ (김치찌개) (คิมชี ชีเก)


เครื่องปรุง
มิโสะ (เต้าเจี๊ยวญี่ปุ่น) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
ดาชิ (ผงซุปปลา) 2 ช้อนโต๊ะ
โคชูจัง (พริกแกงเกาหลี) 2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมผง 1 ช้อนชา (ตามหลักต้องใช้ กระเทียมสับ 3 กลีบ)
ขิงผง 1 ช้อนชา (ตามหลักต้องใช้ ขิงสับ 1 ช้อนชา)
พริกป่น 1/4 ช้อนชา
-----------------------
**ในการ์ตูนใช้ขิงสด กับกระเทียมสด ฝนละเอียด พอดีเราขี้เกียจ ก็เลยใช้แบบผงแทน 
**ถ้าไม่มีผงซุปปลา ใช้ซุปก้อนคนอร์ 1/2 ก้อน ไก่หรือหมูก็ได้ค่ะ (ในการ์ตูนใช้น้ำที่แช่ปลาแห้ง ไม่บอกปริมาณ อันนี้เรากะๆเอาเอง)
**พริกป่น ในการ์ตูนใช้พริกเกาหลี ซึ่งจะไม่ค่อยเผ็ด เราใช้พริกป่นไทย ค่อนข้างเผ็ด เลยใส่นิดหน่อย
**โคชูจัง ในการ์ตูนใส่ 1 ช้อนโต๊ะ 
**ไม่มีเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น ใส่เต้าเจี้ยวไทยก็ได้ค่า แต่ลดปริมาณลง เพราะเต้าเจี้ยวไทยเค็มกว่า


วัตถุดิบ
เบค่อนหั่น 100 กรัม (ในการ์ตูนใช้หมูสามชั้น)
กิมจิ 200 กรัม (ในการ์ตูน 150 กรัม)
เต้าหู้คินุ หรือเต้าหู้ใบตอง 1 ก้อน(ในการ์ตูนใ้ช้ 1/2 ก้อน)
ไข่ไก่ 1 ฟอง
ต้นหอมญี่ปุ่น นิดหน่อย (ต้นหอมไทยก็ได้)

*ในการ์ตูนจะใส่เห็ดเข็มทองลงไปด้วย แต่ว่าเราลืมซื้อ เลยอดใส่ 555


วิธีทำ
1.นำเบค่อนลงไปผัดให้พอมีน้ำมันออกมา แล้วใส่กระเทียม+ขิง+พริกป่นลงไปผัด
2.หลังจากผัดเบค่อนจนหอม แล้วจึงใส่กิมจิ(พร้อมน้ำกิมจิ)ลงไปผัด
3.ใส่น้ำเปล่าลงไป
4+5+6.ปรุงรสด้วย ผงซุปปลา+โคชูจัง+มิโสะลงไป คนให้เข้ากัน
7.ใส่เต้าหู้หั่นลงไป รอสักครู่ ให้เต้าหู้ซับน้ำซุป (ราวๆ 2-3 นาที)
8.ตอกไข่ใส่ลงไป แล้วปิดไฟ ตักลงชามแล้วโรยด้วยต้นหอมเป็นอันเสร็จ



ดัดแปลงวิธีทำมาจาก การ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "เมื่อวานเจ๊ทานอะไร" นะคะ
ดังนั้นวิธีทำอาจจะไม่ออกแนวเกาหลีจ๋านะ
------------------------------------
ความเปรี้ยวขึ้นอยู่กับกิมจิ กิมจิแต่ละยี่ห้อความเปรี้ยวไม่เท่ากัน 
ถ้าชิมแล้วรู้สึกเปรี้ยวน้อยไปไม่ถูกใจ ก็เติมมะนาวเพิ่มได้ตามชอบค่ะ

แวะไปชมอาหารอย่างอื่นที่เราทำได้ที่ >>http://www.facebook.com/Food.By.Rita

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยากิโซเมน

ยากิโซเมน



เครื่องปรุง+วัตถุดิบ
เส้นโซเมน (จะใช้เส้นสปาเกตตี้ เส้นมาม่า ก็ได้ ตามใจชอบเลย)
เบค่อน (ใช้เนื้อสัตว์อื่นๆก็ได้)
กะหล่ำปลี
เห็ด ตามชอย
ซอสผัดแบบญี่ปุ่น (ที่เราเห็นก็มียี่ห้อเทสโก้ กับยี่ห้อทาคูมิ)
น้ำตาลทราย

วิธีทำ 

1. ลวกเส้นโซเมน พอสุกก็เทน้ำออกแล้วพักไว้
2. ผัดเบค่อน ให้สุกตามชอบ แล้วใส่กะหล่ำปลีลงไปผัดตาม 


3.พอสุกค่อยใส่เห็ดลงไปผัดต่อ (ใส่ทีหลังกะหล่ำปลี เพราะน้ำเห็ดจะออกมาเยอะ ถ้าไม่ผัดก่อนกะหล่ำปลีมันจะเปื่อยๆ) พอน้ำเห็ดแห้ง ก็ใส่เส้นลงไปผัดต่อ


4. ปรุงรสด้วยซอสผัด และน้ำตาลตามชอบ (อย่าใส่ซอสเยอะนะจ๊ะ เบค่อนมันเค็มอยู่แล้ว) 


จัดใส่จาน บีบมายองเนสใส่ โรยหน้าด้วยสาหร่ายผง กับพริกชิจิมิ (เป็นพริกญี่ปุ่น จะมี พริก ผิวส้ม งาดำ งาขาว) แต่ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องใส่จ้า


คือเมื่อวานซืนไปโลตัส แล้วลองซอสผัดแบบญี่ปุ่นมา กะจะมาผัดมาม่า แต่พอดีมีเส้นโซเมนอยู่ เลยอยากให้ออกแนวญี่ปุ่นๆ เพราะมันซอสสไตล์ญี่ปุ่นอ่ะนะ

อาทิตย์นี้ทำรีวิวด้วยมือ ก่อนจะซื้อคอมใหม่ในวันเสาร์ ตั้งใจรีวิววันละ 1 เมนู นี่ก็กำลังจะไปทำเค้กชอคโกแลสอดไส้กล้วย ด้วยไมโครเวฟมาให้ชมในวันพรุ่งนี้ อิอิ

เกล็ดความรู้เล็กๆ

ยากิ = ย่าง (ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าของผัดๆในกระทะ แต่คนญี่ปุ่นนิยามว่าย่าง เช่น ยากิโซบะ โอโคโนมิยากิ เป็นต้น)
โซเมน = เส้นชนิดนึงที่ทำจากแป้งสาลี ต่างกับอุด้งตรงที่ว่า อุด้ง ทำสดๆแล้วกินได้เลย แต่เส้นโซเมน ต้องผ่านกระบวนการบ่ม(ถ้าจำไม่ผิด ก็เป็นเดือนๆ) ถึงจะนำมากินได้ 
แม่เราเคยเล่าว่า ตอนแม่อยู่อเมริกา สมัยเด็กๆ ช่วงนั้นเวลาคนไทยอยากกินขนมจีน ก็เอาเส้นโซเมนนี่แหล่ะมาใช้แทน แต่ตอนนี้แม่บอกว่าที่เวอจิเนีย มีขนมจีนทั้งเส้นแห้ง เส้นสดขายแล้วล่ะ ไม่ต้องพึ่งเส้นโซเมนแล้ว

แวะไปชมอาหารอย่างอื่นที่เราทำได้ที่ >>http://www.facebook.com/Food.By.Rita

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

เสต็กหมู พริกไทยดำ สำหรับ 2 ที่

เสต็กหมู พริกไทยดำ สำหรับ 2 ที่


เครื่องปรุง+วัตถุดิบ
เนื้อหมูสันนอก 300 กรัม 2 ชิ้น
ซอสหอยนางรม 1/2 ถ้วยตวง
ซอสมะเขือเทศ 1/4 ถ้วยตวง
มายองเนส 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมันงา 1/2 ช้อนโต๊ะ (หรือ 1 1/2 ช้อนชา)
พริกไทยดำบุบ 1/2 ช้อนโต๊ะ (หรือ 1 1/2 ช้อนชา)
น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง (ลืมรูป)
โรสแมรี่ นิดหน่อย (ไม่ใส่ก็ได้)

- ถ้ามีน้ำสลัดงา ให้ใส่แทน มายองเนส+น้ำมันงา ได้นะคะ ลองกะๆเอา
-โรสแมรี่ ปกติจะดับกลิ่นเนื้อวัวได้ดี ถ้าทำเสต็กหมู จะไม่ใส่ก็ได้ แต่พอดีเราชอบกลิ่นของมันก็เลยใส่ อิอิ

**ใครทำชิ้นเดียวก็ลดสัดส่วนลงครึ่งนึงนะ


วิธีทำ
1. ล้างเนื้อหมูให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วใช้ส้อมจิ้มๆเนื้อหมู เป็นการตัดเส้นใยหมู เนื้อจะได้นุ่มขึ้น และน้ำซอสเข้าเนื้อได้ดีขึ้น
-จะทุบหรือไม่ทุบก็ได้ตามชอบ ถ้าเนื้อหมูเกรดดีๆมักจะนุ่มอยู่แล้วไม่ต้องทุบ

2. ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงทั้งหมด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
-จะปรุงซอสแยกไว้ก่อน ค่อยเอาหมูลงไปคลุกก็ได้ พอดี เราทำไป ตวงไป ก็เลยใส่ลงเนื้อหมู


3. พอคลุกเคล้าเนื้อหมูให้เข้ากันแล้ว ให้นำเข้าตู้เย็น หมักไว้ 1-3 ชั่วโมง ตามชอบ
-พอดีเราหมักไว้ 1 คืน เลยแยกซอสกับแยกเนื้อหมูไว้คนละถุง แล้วแช่ฟรีซไว้ รสชาติจะได้ไม่เข้มข้นจนเกินไป พอจะกินก็ค่อยวางให้ละลายแล้วย่าง
- การที่แช่ช่องฟรีซ น้ำแข็งจะทำลายเส้นใยเนื้อหมู ทำให้เนื้อหมูนุ่มยิ่งขึ้น


4. ตั้งกระทะใช้ไฟแรง พอควันขึ้น เราก็ใส่เนื้อหมูลงไป กะๆว่าพอเกรียมๆเหมือนในรูป ก็พลิกด้าน ปิดฝาแล้วหรี่เป็นไฟกลางค่อนไปทางอ่อน เป็นเวลา 15-20 นาที แล้วแต่ความหนาของเนื้อหมู

-เป็นการอบ เพราะเนื้อหมูที่เราใช้ค่อนข้างหนา ไม่งั้นจะสุกแค่ภายนอก ภายในจะยังดิบๆอยู่
-การย่าง+อบ ด้วยวิธีนี้ จะทำให้สุกทั่วถึงภายใน และเนื้อภายในจะยังฉ่ำ ไม่แห้งค่ะ
-ถ้าใครไม่มีกระทะเทฟล่อน ให้ใส่เนยลงไปในกระทะก่อน แล้วค่อยใส่เนื้อหมูนะคะ


5. นำซอสที่เหลือจากการหมัก+น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง ใส่ลงกระทะที่ย่างเสต็กเมื่อครู่ แล้วเปิดไฟแรง กะว่าพอซอสข้นขึ้นนิดนึง เป็นอันใช้ได้
- ถ้าชิมซอสแล้วรสอ่อนไป เติมซีอิ๊วขาวเพิ่มรสชาติได้ตามชอบนะคะ


**เนื้อหมู มีปรสิต ไม่ควรกินดิบ อาจทำให้หูดับ ตาบอดได้ (ค้นในกูเกิล กรณีสาวหูดับ เพราะกินหมูดิบ บุกพบนายกอภิสิทธิ์)


>>เสต็กนี้ได้แรงบัลดาลใจ จากตอนไปบ้านแฟน แล้วคุณแม่แฟนทำเสต็กเนื้อวัวให้กินค่ะ

คุณแม่แฟนใช้น้ำสลัดงาทำ แต่พอดีเราไม่มีน้ำสลัดงา เลยดัดแปลงใช้เป็นมายองเนส+น้ำมันงาแทน

ออกมาอร่อยนะ เราว่า แฟนเราก็ชอบให้ทำให้กินบ่อยๆ น้ำซอสนี้หมักได้ทั้งเนื้อหมู และเนื้อวัวค่ะ

>> ขอบคุณ คุณแม่แฟน ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ อิอิ

ส่วนเสต็กไก่ ไว้เราจะมาทำรีวิวให้อีกทีนึง เป็นเสต็กไก่แบบคลีนๆ อิอิ

ป.ล. ที่จริงทีแรกว่าจะลงคัพเค้กไส้กล้วย แต่มีข้อผิดพลาดเล็กน้อย ขอเลื่อนไปลงวันอาทิตย์แทนนะคะ 

ขออภัยด้วยค่าาา

**ใครชอบกินคู่กับมันบด ไปดูวิธีทำได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ >> https://www.facebook.com/media/set/?set=a.720953151322502.1073741971.103473473070476&type=3

แวะไปชมอาหารอย่างอื่นที่เราทำได้ที่ >>http://www.facebook.com/Food.By.Rita

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

เอแคลร์ ไส้ชอคโกแลตชาไทย กับ เอแคลร์ ไส้คัสตาสกล้วย

มาทำเอแคลร์กันดีกว่าค่ะ เรา ดัดแปลงสูตรและใช้เทคนิกที่ไปเรียนมาจาก เลอ กอร์ดอง เบลอ เมื่อต้นเดือนล่ะ

อนึ่ง ไส้เอแคลร์ทั้งสองสูตรนี้ เราเป็นผู้คิดขึ้นเองนะคะ พื้นฐานมาจากสูตรที่ไปเรียนที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ 

ไส้ Lemon Cream Filling เราดัดแปลงมาเป็นไส้คัสตาสกล้วยหอม
ไส้ Creamy Chocolate  ใช้ดาร์คชอคโกแลต นมสด และน้ำตาลทราย เราดัดแปลง มาเป็น ไส้ชอคโกแลตชาไทย โดยใช้ น้ำเปล่า นมผง ชาไทย และไวท์ชอคโกแลตแทนค่ะ (ไม่ใส่น้ำตาลทรายเพราะว่าไวท์ชอคมีรสชาติที่หวานมากอยู่แล้ว)

สามารถนำไปเผยแพร่ได้ โดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงแต่ขอความกรุณา อย่าตัดเครดิตในรูปออกนะคะ

ใครต้องการดูเทคนิคต่างๆตอนที่เราไปเรียนจาก เลอ กอร์ดอง เบลา แวะเข้าไปชมที่กระทู้นี้นะคะ http://pantip.com/topic/33468508


เอแคลร์ ไส้ชอคโกแลตชาไทย


เอแคลร์ ไส้คัสตาสกล้วย

**เอแคลร์กลมๆ แบบที่คนไทยเรียกกัน ต่างชาติจะเรียก ชูว์ครีม หรือ ครีมพัฟ (เท่าที่ทราบ มีแต่คนไทยที่เรียกเอแคล์จ้า ดังนั้นถ้าใครไปเจอในโรงแรม หรือไปต่างประเทศ จะได้ไม่งง ว่าทำไมเรียกชูว์ครีม)

เอแคลร์ ตามแบบต้นฉบับ จะมีลักษณะยาวๆแบบในภาพที่เชฟทำนะคะ ความยาวตามมารตราฐาน คือ 13 เซนติเมตร

หากสั้นลงมา จะเรียกว่า "คาโอลิน" (เชฟบอกว่า ที่ต่างประเทศถ้าไม่ใช่คนในวงการทำขนม ส่วนมากก็ไม่ทราบว่าเรียกว่า "คาโอลิน"

จำง่ายๆคือ ถ้ารูปร่างเปลี่ยน ชื่อเรียกก็เปลี่ยนตาม 


แป้งชูส์ (ส่วนผสม)
น้ำตาลเบเกอรี่ ลิน 1 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลไอซิ่ง ลิน นิดหน่อย
เนยสด(จืด) 90 กรัม
นมสด 100 กรัม
น้ำเปล่า 100 กรัม
ไข่ไก่ 3-4 ฟอง
เกลือ 1/4 ช้อนชา
แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วยตวง

**เชฟบอกว่าน้ำตาลไอซิ่งมี 2 แบบ ให้ใช้แบบที่มีส่วนผสมของแป้งข้าวโพด ซึ่งฝรั่งจะเรียกว่า สโนว์ไอซิ่งค่ะ


เราใช้หัวบีบขนาด 4B ในการบีบแป้งค่ะ


วิธีทำ (แป้งชูส์)

**เชฟสอนให้ใช้พายยางเท่านั้นค่ะ ห้ามใช้ตะกร้อมือเด็ดขาด

1. ใส่น้ำ+นม+เนย+น้ำตาล+เกลือ ลงไปในหม้อ ต้มด้วยไฟกลาง จนเนยละลายและเริ่มเดือดนิดๆ 

แล้วเติมแป้งลงไป คนให้เข้ากันโดยที่ไม่ปิดไฟ วิธีดูว่าแป้งใช้ได้หรือยัง ให้ดูว่าแป้งร่อนไม่ติดหม้อ เป็นอันใช้ได้ (ใช้หม้อเคลือบเทฟล่อน กะลำบากมาก -*-)

จากนั้นเทแป้งลงในชามผสม ต่อไปก็ค่อยๆเติมไข่ลงไปในแป้ง อย่าใส่ทีเดียวนะคะ คือบางทีไข่ยังไม่หมด แต่แป้งได้ที่แล้วก็มีเหมือนกัน

ส่วนผสมได้ที่ก็คือ สังเกตุว่าแป้งขึ้นเงา แล้วให้ลองตักขึ้นมาเยอะๆ แล้วปล่อยให้ไหลลงมา แล้วมันเป็นรูปสามเหลี่ยมหัวคว่ำ ตามรูปล่างตรงกลางนะคะ

พอแป้งได้ที่ เราก็บีบแป้ง พอบีบเสร็จ ให้ใช้น้ำตาลไอซิ่ง โรยหน้านิดนึง เพื่อให้อบออกมาแล้วมีสีสวย (ใครจะใช้ไข่ผสมน้ำ ตีพอแตกทาก็ได้ค่ะ)

**ตอนทำที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ เรียนในห้องแอร์นะคะ ดังนั้นพอยกแป้งลงจากเตาแป๊บเดียว มันก็เย็นลงล่ะ 
แต่เราทำในห้องครัวที่ไม่ได้เปิดแอร์ สรุปคือร้อนนั่นแหล่ะ เราต้องรอให้แป้งคลายความร้อนเหลือแค่อุ่นๆ จึงจะใส่ไข่นะคะ (ถ้าใส่ตอนร้อน ไข่จะสุก มันจะดูดไข่มาก แล้วแป้งชูส์ที่อบออกมาจะเนื้อหยาบ และไม่พอง ฟีบแหง๋แก๋เลยนะเออ)


2. อบด้วยไฟแรง 170 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที (เชฟแกสอนมาแบบนั้น แต่ทว่า เตาเราเล็กกว่า เลยปรับไฟแรงแค่ 150 องศาเซลเซียส และลดเวลาเป็น 30 นาทีค่ะ)

เชฟบอกว่าเวลาอบ เราควรเปิดฝาแง้มนิดๆ เพื่อระบายความชื้น เพราะถ้าความชื้นสูง เอแคล์จะไม่สวย (เราลองไม่แง้มไว้ ปรากฏว่าเอแคลร์ไม่พองค่ะ ฟีบหมดเลย ลองแง้มเตา 2 รอบ ออกมางาม 2 รอบ ลองไม่แง้มเตาอีก 2 รอบ ก็ฟีบทั้งสองรอบ)

พอเสร็จแล้ว เราก็นำมาวางบนตะแกรง ปล่อยให้เย็น (เชฟบอกว่าควรวางไว้ในอุณภูมิห้อง แต่เป็นอุณหภูมิห้องของฝรั่ง หรือก็คือห้องแอร์พี่ไทย แต่เราวางไว้ห้องที่ไม่ได้เปิดแอร์นะ)

**ไม่ควรใส่ไส้ตอนร้อน เพราะจะทำให้เสียง่าย

***พอเย็นแล้วควรรีบใส่ไส้ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะจะทำให้แป้งชูส์ฟีบ โพรงหาย บีบไส้ไม่ได้ซะอีก


ส่วนผสม (ไส้คัสตาสกล้วย) ใช้ตะกร้อมือนะคะ

น้ำตาลเบเกอรี่ ลิน 1/3 ถ้วยตวง
กล้วยหอม 1 ลูก 
ชาไทย 1 ช้อนโต๊ะ
ผงคัสตาส 1 ช้อนชา
ผงเจลาติน 1 ช้อนชา
น้ำเปล่า (สำหรับละลายเจลาติน) 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า(ใส่พร้อมกล้วย) 1/4 ถ้วยตวง)
เนยสด(จืด) 1/4 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
ไข่ไก่ 2 ฟอ

*น้ำมะนาวใส่เพื่อไม่ให้กล้วยเปลี่ยนสีค่ะ


3. อันดับแรกนำผงเจลาตินผสมน้ำ คนให้เข้ากัน แล้วเวฟไฟแรง 800 W 15 วินาที แล้วพักไว้

บดกล้วยกับน้ำมะนาว

ใส่กล้วยบด+เนยสด+น้ำเปล่า+น้ำตาล(ครึ่งนึง) ลงหม้อแล้วเปิดไฟกลาง 

ระหว่างรอเนยละลาย ให้หันมาตอกไข่ใส่ชาม แล้วใส่น้ำตาลทรายส่วนที่เหลือ แล้วคนให้เข้ากัน แล้วจึงใส่ผงคัสตาสลงไปคนให้เข้ากัน


4.พอเนยเดือด ก็ยกเนยมาเทลงไข่(คนไปเทไปนะคะ)

เสร็จแล้วก็เทส่วนผสมทั้งหมดลงหม้ออีกครั้งใช้ไฟกลาง คนไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมเริ่มข้น แล้วจึงใส่น้ำเจลติน

นำส่วนผสมทั้งหมดมากรองด้วยตะแกรงอีกครั้ง ใช้พายยางบดๆให้ส่วนผสมไหลลงมาค่ะ

แล้วเทใส่แรฟพลาสติก นำไปแช่ในตู้เย็น (เป็นการทำให้เย็นอย่างรวดเร็ว โดยที่เชื้อโรคไม่เติบโตมาก)

**เอาแค่ส่วนผสมข้นขึ้น แต่อย่านานเกินไป เพราะว่ามันจะจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ เนื้อที่ได้จะไม่เนียนค่ะ


ไส้ชอคโกแลตชาไทย (ส่วนผสม)
ไวท์ชอคโกแลต 80 กรัม
นมผง 3 ช้อนโต๊ะ
ชาไทย 1 ช้อนโต๊ะ
ครีมสด 60 มิลลิกรัม
น้ำเปล่า 70 มิลลิกรัม
ไข่แดง 2 ฟอง

**ไม่แนะนำให้ใช้ชอคโกแลตคอมพาวนะคะ เพราะมันจะไม่กลับมาเซ็ตตัวเหมือนชอคโกแลตแท้


วิธีทำ
5. นำชาไทยไปต้มกับน้ำเปล่า เราใช้แต่น้ำนะคะ ^ ^

พอได้น้ำชาไทยแล้วให้ใส่ นมผง+ครีมสดลงไป ใช้ไฟกลางต้มพอเดือด 

พอเดือดแล้วให้เราเทใส่ไข่แดงที่เราตีให้แตกไว้ คนระหว่างเทด้วยนะคะ

เสร็จแล้วให้เทส่วนผสมกลับลงไปในหม้อ ใช้ไฟกลาง ต้มจนอุณหภูมิถึง 82 องศาเซลเซียส แล้วนำลงจากเตาทันที
(เชฟบอกว่า ถ้าสูงเกิน 82 จะเป็นไข่คน ถ้าต่ำกว่า 82 ส่วนผสมจะไม่แข็งตัวค่ะ)

นำมาเทใส่ชามที่ใส่ไวท์ชอคโกแลต ผ่านตะแกรง

รอสักครู่ให้ชอคโกแลตละลาย แล้วค่อยคนจะได้คนง่ายๆ

เสร็จแล้วเทใส่แรฟพลาสติกนำเข้าตู้เย็น (เป็นการทำให้เย็นอย่างรวดเร็ว โดยที่เชื้อโรคไม่เติบโตมาก)

พอไส้เย็นแล้วก็จะแข็งตัวขึ้นค่ะ


เค้กชาเขียวไมโครเวฟ
ส่วนผสม (ไม่ถ่ายลงนะ รูปเยอะล่ะ -*-)

แป้งสาลีเอนกประสงค์ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
ผงฟู 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
ผงชาเขียว 1 ช้อนชา
สีเขียว นิดหน่อย (ใส่พอออกสี)

วิธีทำ
ผสมทุกอย่างลงในชาม คนให้เข้ากัน แล้วใส่ถ้วยกระดาษ เวฟไฟแรง 800W 1 นาที เป็นอันเสร็จ (ไม่ควรอบในถ้วย เพราะไอน้ำจะทำให้จับเนื้อเค้กจับกันเป็นก้อน)

พอเวฟเสร็จให้นำออกมาคว่ำไว้ เนื้อเค้กจะได้ไม่ยุบตัว และเป็นการระบายความร้อนไปในตัวค่ะ

รสชาติจะออกจืดๆนะคะ เพราะเราจะเอาไว้ประดับ รสจะได้ไม่ไปข่มรสชาติหลักค่ะ


วิธีบีบไส้ และตกแต่ง
ของที่ต้องเตรียม

ฟองดอง ลิน
แป้งชูส์
เค้กชาเขียวไมโครเวฟ
ไส้
แครกเกอร์ยี่ห้อที่ชอบ 
สีเหลือง
ผงทองสำหรับตกแต่งอาหาร (ไม่มีก็ไม่เป็นไร
น้ำเปล่านิดหน่อย


เราใช้หัวบีบอันเล็กเจาะรู ส่วนอันใหญ่ไว้บีบไส้ค่า


7.ทุบโอริโอพอแตก (ประมาณในรูป) ปัดผงทองลงไป

นำฟองดองผสมน้ำนิดหน่อย แล้วเวฟไฟแรง 800w 2 นาที แล้วผสมด้วยสีเหลือง


8. ไส้คัสตาสกล้วย
เจาะรูแป้งชูส์ เป็น 3 รู 

บีบไส้ลงไป แล้วปาดไส้ส่วนเกินออกให้เรียบร้อย

จุ่มหน้าลงฟองดองที่เตรียมไว้ แล้วตกแต่งตามชอบ


9. ไส้ชอคโกแลตชาไทย 
หั่นหน้าของแป้งชูส์ออก 1 ใน 4 ของแป้ง ด้วยมีฟันเลื่อย แล้วควักๆด้านในออก

บีบครีมชอคโกแลตชาไทยลงไป แล้วตกแต่งตามชอบ 

คือเราเป็นคนกินรสไม่หวานจัด ดังนั้นถ้าใครลองชิมไส้แล้วรู้สึกว่าหวานน้อยไป เพิ่มน้ำตาลได้ตามใจชอบเลยนะคะ 




เสร็จแล้วค่าาาาา ใช้เวลายาวนานมากๆเลย ทั้งตอนทำเอแคลร์ ทั้งตอนทำภาพ และตอนพิมพ์ ^ ^

ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะมาชมค่าาาา

แวะไปชมอาหารอย่างอื่นที่เราทำได้ที่ >>http://www.facebook.com/Food.By.Rita